ความเหลื่อมล้ำ

ความเหลื่อมล้ำ ปัญหาที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันแก้ไข

“ความเหลื่อมล้ำ” เป็นการเปรียบเทียบที่เกิดขึ้นได้ทั้งในลักษณะเชิงนามธรรม เช่น ความรู้สึกไม่เป็นธรรม ความรู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมกัน ความรู้สึกขาดอำนาจในการต่อรอง และในเชิงรูปธรรม เช่น การถือครองสินทรัพย์

ความเหลื่อมล้ำ เกิดขึ้นได้ด้วยหลายปัจจัย การลดความเหลื่อมล้ำต้องอาศัยความร่วมมือกันทั้งในระดับบุคคล ชุมชน สังคม องค์กรเอกชน และหน่วยงานของรัฐ

ซึ่งความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองสินทรัพย์ อาจจำแนกออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือ ความเหลื่อมล้ำในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ (tangible asset) และสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ (intangible asset)

ความเหลื่อมล้ำในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ ดูได้จากความเหลื่อมล้ำทางรายได้และการถือครองทรัพย์สิน ข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของคนไทยแทบจะไม่ดีขึ้นเลยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา กล่าวคือ ถึงแม้ว่ารายได้เฉลี่ยของคนไทยจะปรับตัวสูงขึ้น จากประมาณ 1,100 บาทต่อคนต่อเดือน ในปี พ.ศ. 2531 เป็น 3,400 บาทต่อคนต่อเดือนในปี พ.ศ. 2543 และเพิ่มเป็น 9,600 บาทต่อคนต่อเดือนในปี พ.ศ. 2560 แต่ค่าสัมประสิทธิ์จีนี (Gini coefficient) ที่บ่งบอกถึงความไม่เสมอภาคแทบจะไม่ดีขึ้นเลย

ความไม่เสมอภาคทางรายได้เพิ่มจาก 0.487 ในปี พ.ศ. 2531 เป็น 0.522 ในปี พ.ศ. 2543 และความไม่เสมอภาคลดลงเล็กน้อยเป็น 0.453 ในปี พ.ศ. 2560 จึงกล่าวได้ว่า ประโยชน์โดยรวมที่ประเทศมีรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้น ไม่ได้ช่วยทำให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางดีขึ้น โดยเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่มีรายได้สูง

จึงไม่แปลกอะไรที่ Credit Suisse รายงานว่า ปี พ.ศ. 2561 คนไทยที่รวยที่สุด 5% ของประเทศถือครองทรัพย์สินที่มีทั้งหมดในประเทศถึง 80% ส่วนที่เหลืออีก 20% ก็แบ่งกันถือระหว่างคนไทยที่เหลืออีก 95% และแน่นอนว่าคนจำนวนหนึ่งไม่มีทรัพย์สินให้ถือครองเลย

และถึงแม้ว่างานของ Credit Suisse จะใช้ข้อมูลปี พ.ศ. 2549 ในการประมาณการ แต่ภาพการถือครองทรัพย์สินในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาไม่น่าจะเปลี่ยนมากนัก เพราะประเทศไทยไม่มีการปฏิรูประบบภาษีที่แรงพอที่จะไปกระทบการกระจายของการถือครองทรัพย์สิน

ความเหลื่อมล้ำในสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ แต่ปรากฏในเชิงประจักษ์คือ ความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ คนทุกคนต้องการมีสุขภาพดี เพราะการมีสุขภาพดีนำไปสู่ศักยภาพในด้านอื่น ๆ ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งในขณะเดียวกันปัจจัยด้านเศรษฐกิจและสังคมก็นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพได้ โดยปัจจัยเหล่านี้ประกอบด้วย ฐานะทางเศรษฐกิจ เพศสภาพ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา ชาติกำเนิด อาชีพ ภาวะความพิการ ภาษาที่ใช้ ลำดับชั้นทางสังคม ถิ่นที่อยู่อาศัย และอื่น ๆ

ตัวอย่างความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพของไทยที่นำเสนอในงานวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหลายชิ้น เช่น คนก่อนวัยสูงอายุ (อายุ 50-59 ปี) มีการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากประมาณ 500 คนในปี พ.ศ. 2551 เป็นประมาณ 750 คนในปี พ.ศ. 2560 แม้จะไม่ได้สูงกว่ากลุ่มอายุวัยทำงานที่อายุ 30-49 ปี แต่อัตราการเพิ่มของการฆ่าตัวตายของกลุ่มอายุนี้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นสูงที่สุด สาเหตุเป็นเพราะความเครียดหรือไม่ เมื่อชีวิตเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ช่วงวัยขาลง อาจจะเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ควรค้นหาคำตอบ

นอกจากนี้คนสูงอายุเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจากการขนส่ง เพิ่มจาก 1,000 คนในปี พ.ศ. 2551 เป็น 3,000 คนในปี พ.ศ. 2560 มารดาในภาคใต้มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์มากกว่าคนกรุงเทพเกินกว่า 3 เท่าในปี พ.ศ. 2557 ทั้ง 2 สถานการณ์นี้ล้วนแต่เป็นการเสียชีวิตที่หลีกเลี่ยงได้

ตัวอย่างทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำที่มีต่อกลุ่มคนเปราะบางอันเนื่องมาจากอายุและถิ่นที่อยู่อาศัย ซึ่งการวิจัยยังพบว่า คนที่อยู่ในสถานะหย่าหรือแยกทางกัน มีความสุขหรือความพึงพอใจในชีวิตต่ำกว่าคนโสดและคนที่มีคู่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพจิตในด้านปัจจัยทางสถานะครอบครัวที่เราอาจจะมองข้ามไป

ส่วนความเหลื่อมล้ำระหว่างอาชีพที่มีข้อมูลเชิงประจักษ์ คือ ค่าใช้จ่ายการรักษาในโรงพยาบาลของผู้ป่วยสูงอายุที่ใช้สิทธิสวัสดิการข้าราชการสูงกว่าผู้สูงอายุที่ใช้สิทธิบัตรทองประมาณสองเท่า ทั้ง ๆ ที่เป็นการรักษาในกลุ่มโรคเดียวกัน และข้าราชการเกษียณยังมีโอกาสมีอายุยืนยาวกว่าผู้สูงอายุที่ใช้บัตรทองถึง 3 ปี

ความเหลื่อมล้ำที่กล่าวมานี้ อาจมีผลต่อความสุขของคนได้ หนังสือ The origins of happiness โดย Andrew E. Clark, Sarah Fleche, Richard Layard, Nattavudh Pawdthavee และ George Ward ได้กล่าวว่า คนมักจะมีความสุขเพิ่มขึ้นเมื่อรายได้เพิ่ม แต่ถ้าเปรียบเทียบคนในประเทศหนึ่งตามกาลเวลาที่รายได้เพิ่มแล้ว ความสุขของคนกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นตามรายได้ ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Easterlin paradox ซึ่งผู้เขียนได้ขยายความถึงเหตุผลหนึ่งที่อาจเป็นไปได้คือ คนมีการเปรียบเทียบกันทางสังคม ถ้าเรามีรายได้เพิ่มขึ้นแต่เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ ในสังคม เรายังคงมีฐานะทางเศรษฐกิจโดยเปรียบเทียบแย่เหมือนเดิม ความสุขของเราจะไม่เพิ่มไปกับรายได้ที่เพิ่ม ดังนั้นความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจไม่เพียงส่งผลต่อสุขภาพกายเท่านั้นแต่ยังอาจเกี่ยวข้องไปถึงสุขภาพจิตได้อีกด้วย

ในมิติของประเทศไทย เราอาจจะไม่สามารถทำให้คนทุกคนเท่าเทียมกันได้ แต่เราทั้งในฐานะที่เป็นปัจเจกชน เป็นสมาชิกของชุมชน สังคม องค์กรเอกชน และหน่วยงานของรัฐ สามารถร่วมกันสร้างความเป็นธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของคนไทยลงได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ โดยบทบาทของระดับปัจเจก ชุมชน สังคม และองค์กรเอกชน ทำได้ตั้งแต่ร่วมสนับสนุนทั้งแรงและเงิน การเปิดโอกาสและเปิดใจให้ผู้อื่นอย่างเท่าเทียมกัน หรือการทำธุรกิจเพื่อสังคม แต่พลังที่สำคัญคือ หน่วยงานของรัฐซึ่งถือเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ควรที่จะต้องทำให้กลไกทางการคลังแข็งแรงพอที่จะให้การกระจายของสินทรัพย์ของคนกลุ่มใหญ่ (โดยเฉพาะกลุ่มคน 95% ที่ถือครองทรัพย์สินเพียง 5% ของประเทศ) ค่อย ๆ ดีขึ้นกว่าเดิม กลไกด้านการศึกษา บริการสาธารณสุข การจ้างงาน การเดินทาง และพัฒนาชุมชน ที่เปิดโอกาสกับคนทุกกลุ่มอย่างเป็นธรรม

อย่างไรก็ดี ยังมีคนบางกลุ่มที่ต้องการโอกาสที่พิเศษกว่าประชาชนทั่วไป คือ คนโชคร้ายที่ยากลำบากด้วยเหตุที่ตนมิได้ก่อไว้ เช่น คนโชคร้ายเกิดมามีร่างกายไม่ครบสามสิบสอง บางคนเกิดมาครบแต่ต้องเร่ร่อนย้ายถิ่น บางคนไม่มีทางเลือกมากนักในการทำมาเลี้ยงชีพ จึงต้องรับทำงานที่เสี่ยงหรือตกงาน บางคนอยากทำงาน แต่ภาวะพิการทำให้ออกจากบ้านไม่ได้ บางคนมีชาติกำเนิดไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ของประเทศ ทำให้ไม่ได้เรียนหนังสือ เมื่อเจ็บป่วยก็ไม่รู้จะไปที่ไหน บางคนอยู่ในครอบครัวแตกแยก หาคนปรึกษาด้วยไม่ได้ ขาดที่พึ่งทางทางใจ คนโชคร้ายเปราะบางเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะตกอยู่ในวงจรของความยากลำบาก และมีสุขภาพกายและใจที่อ่อนแอ

ความเหลื่อมล้ำ

ในสังคมที่เป็นธรรมควรจะมีแต้มต่อให้แก่คนเหล่านี้ มีกลไกที่จะช่วยเร่งให้เขาตามคนอื่น ๆ ทัน และมิต้องตกอยู่ตำแหน่งพื้นล่างของสังคมตลอดกาล

เมื่อสินทรัพย์ของคนทั้งประเทศไทยมากกว่า 77% ไปกระจุกตัวอยู่กับคนรวยที่สุดของไทยที่มีสัดส่วนเพียง 10% ของประชากรทั้งหมด ก็ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งมากที่สุดในโลก

ความเหลื่อมล้ำของไทยมีแนวโน้มปรับขึ้นสูงเรื่อยๆ สะท้อนจากสัดส่วนสินทรัพย์ที่ถือครองโดยคน 1% ที่รวยที่สุดเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดระหว่างปี 2551-2561 และในมิติการเติบโตของรายได้ ซึ่งข้อมูลได้สะท้อนชัดเจนว่ากลุ่มคนรายได้สูงมีรายได้ที่เติบโตสูงขึ้นเร็วกว่าคนรายได้น้อย ทำให้เศรษฐกิจไทยช่วงที่ผ่านมาโตแบบไม่ทั่วถึง เกิดภาวะ ‘รวยกระจุก จนกระจาย’

ขณะเดียวกันความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของไทยในความเป็นจริงอาจสูงกว่าตัวเลขทางการ ซึ่งปัจจุบันมักอ้างอิงจากข้อมูลแบบสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยกลุ่มตัวอย่างที่อยู่ในแบบสำรวจมีแนวโน้มเป็นกลุ่มคนรายได้น้อยและไม่รวมคนรายได้สูง ทำให้ตัวเลขความเหลื่อมล้ำต่ำกว่าความเป็นจริง

ที่สำคัญแม้ว่าช่วงที่ผ่านมาความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ของไทยปรับตัวดีขึ้น แต่เกิดจากเหตุผลที่ไม่ยั่งยืนในมุมมองระยะยาว เพราะส่วนหนึ่งมาจากเงินชั่วคราว ซึ่งเป็นเงินช่วยเหลือจากทางภาครัฐและเงินโอนเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว ซึ่งไม่ได้สะท้อนผลิตภาพของแรงงานที่เพิ่มขึ้นโดยตรง

ดังนั้นหากจะแบ่งปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจไทยมีความเหลื่อมล้ำสูง สามารถแบ่งได้ 4 ปัจจัย ได้แก่

1. คนไทยกว่า 31% ทำงานในภาคเกษตร แต่กลับเจอราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ทำให้การเติบโตของรายได้อยู่ในระดับต่ำ ทำให้ความเหลื่อมล้ำกว้างขึ้น

2. ความเหลื่อมล้ำด้านโอกาส ทั้งมิติโอกาสทางการศึกษา กลุ่มคนรายได้น้อยจะเข้าถึงการศึกษาที่ดีได้น้อย สิทธิแรงงานอยู่ในระดับต่ำ ค่าแรงที่เติบโตช้ากว่าเศรษฐกิจ นอกจากนี้นโยบายของรัฐยังซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำ เช่น แรงงานไม่มีอำนาจต่อรอง กำไรที่กระจุกตัวอยู่ในบริษัทขนาดใหญ่ทำให้รายเล็กแข่งขันยาก และภาครัฐยังขาดมาตรการสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือคนรายได้น้อยอย่างเป็นระบบ

3. สถานการณ์โควิด-19 กระทบรายได้กลุ่มเปราะบางที่มีรายได้น้อยมากกว่ากลุ่มที่มีรายได้สูงกว่า ขณะที่แรงงานนอกระบบมีจำนวนมาก (54% ของแรงงานทั้งหมด) แต่ขาดรัฐสวัสดิการที่เข้มแข็ง

4. ประเทศไทยที่กำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุจะยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำแย่ลง

นอกจากนี้จุดสำคัญคือ ประเทศไทยขาดกลไกที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ เพราะระบบการเมืองที่ขาดประสิทธิภาพ โดยสถาบันการเมืองไม่เชื่อมโยงกับความรับผิดต่อส่วนรวม ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่อเนื่อง เช่น เสรีภาพของสื่อไทยอยู่อันดับ 113 จาก 141 ประเทศ และความปลอดภัยของประชาชนและการคอร์รัปชันได้คะแนนที่ค่อนข้างต่ำ

อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำยังต้องเร่งให้เร็วที่สุด โดยแบ่งเป็น 5 ส่วน ได้แก่

1. กลไกทางเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรม ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนแข่งขันบนความเท่าเทียม

2. กลไกทางภาษีในการกระจายรายได้และความมั่งคั่ง โดยใช้ระบบภาษีรายได้ในอัตราก้าวหน้า

3. กลไกสวัสดิการของรัฐ ที่ทำให้คนเข้าถึงการศึกษา บริการทางสาธารณสุข สินเชื่อ ที่มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น และมีโครงข่ายความคุ้มครองทางสังคม (Social Safety Net) ที่เข้มแข็ง

4. กลไกบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็ง ป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันทั้งทางตรงและคอร์รัปชันเชิงนโยบาย เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในด้านการเข้าถึงอำนาจทางการเมือง

5. กลไกกระจายอำนาจทางการเมืองและการคลัง โดยมีการจัดสรรทั้งอำนาจทางการเมืองและอำนาจทางการคลังไปสู่รัฐบาลท้องถิ่นอย่างเหมาะสม

สรุป

ความเหลื่อมล้ำในสังคมไม่ใช่แค่เรื่องของรายได้มากหรือน้อย แต่รวมถึงความไม่เท่าเทียมทางโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา โอกาสในการถือครองที่ดินเพื่ออยู่อาศัยและทำมาหากิน จนกระทั่งเรื่องประจำวันอย่างโอกาสในการใช้ท้องถนนที่เป็นทรัพย์สินของทุกคน ดังนั้นเมื่อเราเลือกที่จะอยู่ในระบบเศรษฐกิจที่เป็นการแข่งขัน การกระจาย ‘โอกาส’ ในระบบการแข่งขันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

แหล่งที่มา

https://tdri.or.th/

บทความข่าวสารอื่นๆที่น่าสนใจ

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ marriagecelebrant.net

แทงบอล

Releated